30 วัน สางบ่อน-คนเถื่อน ได้ตัวเลขแต่ไร้เงาคนผิด

30 วัน สางบ่อน-คนเถื่อน ได้ตัวเลขแต่ไร้เงาคนผิด

30 วัน สางบ่อน-คนเถื่อน ได้ตัวเลขแต่ไร้เงาคนผิด

ผ่านพ้นครบกำหนดกรอบทำงาน 30 วัน คกก.ตรวจสอบลักลอบเปิดบ่อนพนัน และแรงงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ ที่ต้องสรุปรายงานลับฉบับแรกเสนอ “นายกรัฐมนตรี” พิจารณาทราบความคืบหน้านี้

คร่าวๆ รายงานแบ่งเป็น 2 ชุด คือ “ชุดตรวจสอบบ่อนพนัน” ตั้งอนุกรรมการ 3 ชุด ได้แก่ ชุดตรวจสอบ ชุดข้อมูลสืบสวนเส้นทางการเงิน และชุดมาตรการป้องกัน เน้นตรวจสอบบ่อนขนาดใหญ่ 2 แห่ง ใน จ.ระยอง ปรากฏพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เข้าเอี่ยวเกี่ยวข้อง 10 คน มีวงเงินหมุนเวียนในบ่อน 100 ล้านบาท

ทั้งยังพบปัญหาไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่มีข้อเท็จจริงจากหน่วยงานขาดประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน เบื้องต้นพบ “บ่อนพนันทั่วประเทศ 200 แห่ง ใน กทม. 47 แห่ง” ที่ส่งตรงไปยังนายกฯ ต่อไป…

ในส่วน “ชุดตรวจสอบแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย” กลับไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเป็นรายงานลับที่ต้องรายงานนายกรัฐมนตรีโดยตรง!

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายตรงถึงนายกฯ ผ่านสายด่วน 1111 ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.-9 ก.พ.64 รับแจ้งเรื่องบ่อนการพนัน 253 เรื่อง ยุติแล้ว 17 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 236 เรื่อง ส่วนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายได้รับแจ้ง 38 เรื่อง ยุติแล้ว 2 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 36 เรื่อง

เหตุนี้ “ผบ.ตร.” ต้องออกมาติวเข้มขันนอต “ตำรวจทุกหน่วย” เร่งหาเบาะแสกวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบเล่นพนันทั่วประเทศ และขบวนการขนแรงงานเข้าประเทศ ถ้าเจอหน่วยใดปล่อยปละละเลยต้องถูก “ลงโทษอย่างเฉียบขาด” กระทั่งนำไปสู่การเข้าจับตัว “เสี่ยโป้” ตามยุทธการชัตดาวน์กาแล็กซี่ออนไลน์

30 วัน สางบ่อน-คนเถื่อน ได้ตัวเลขแต่ไร้เงาคนผิด

ข้อหาเล่นการพนัน และความผิด พ.ร.บ.ฟอกเงิน และศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว

ไล่เลี่ยกันก็เข้าจับกุม “หลงจู๊เจ้าพ่อบ่อนภาคตะวันออก” ในข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดให้เล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันไม่ได้รับอนุญาต และได้รับการประกันตัวออกไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 2 แสนบาท

ท่ามกลางกระแส “การแสดงฉากใหญ่” เพื่อลดกระแสกดดันทางสังคม ทำให้ “บิ๊ก ตร.” ต้องออกยืนยัน “จับเสี่ยโป้และหลงจู๊” เป็นตามกฎหมาย ไม่ได้มี “ใบสั่งรัฐบาล” มีการสอบสวนหลายเดือนก่อนจับกุมดำเนินคดี

ความคืบหน้าการตรวจสอบบ่อนพนัน และแรงงานเถื่อนนี้ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม มองว่า ในการทำหน้าที่ คกก.ตรวจสอบบ่อนพนัน และแรงงานเถื่อน เดินทางมาถึง 30 กว่าวันแล้ว แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแนวทางปฏิบัติออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรมมากนัก

โดยเฉพาะ “คกก.ตรวจสอบแรงงานเถื่อน” ที่ไม่ปรากฏผลดำเนินงานออกมาด้วยซ้ำ ทั้งที่ “ปัญหาแรงงานเถื่อน มีมานานก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด ที่มักมีการกล่าวหารู้กันดีอยู่เสมอว่า “ตำรวจบางคน” มีส่วนเกี่ยวข้องปล่อยปละละเลยลักษณะเปิดทางให้ “ขบวนการนำแรงงานเถื่อน” ผ่านเข้ามาพื้นที่ตอนในของประเทศได้ง่าย

แม้ว่า “รัฐบาล” สั่งกำชับห้ามนำเข้า “แรงงานต่างด้าวเด็ดขาด” และมีการปิดช่องทางเข้าออกประเทศ แต่ไม่วายต้องมี “จุดรั่ว” ในการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายดังเดิม ทำให้เกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ขึ้นนี้

ประเด็นปัญหานี้ “บางหน่วยงาน” กลับกล่าวโทษมองว่า ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา มีช่องทางธรรมชาติยาวกว่า 2,000 กม. สามารถลักลอบเข้าจุดใดก็ได้ แม้เป็นเช่นนั้นก็ตามแต่ แรงงานเถื่อน เข้ามาในไทยได้ ก็ต้องเดินทางด้วย “ถนน” เพื่อเข้าพื้นที่ตอนในประเทศ และถนนถูกใช้ก็มีอยู่ไม่กี่เส้นทางต่างรับรู้รับทราบกันอยู่แล้ว

ซ้ำร้าย…“ด่านตรวจ จุดสกัด” กลับไม่ทำหน้าที่ในการป้องกัน “ผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สะท้อนให้เห็นรากเหง้าปัญหานี้มาจาก “การทุจริตคอร์รัปชัน” โดยเฉพาะ “จนท.ชั้นผู้ใหญ่บางคน” เพราะการนำพา “แรงงานเถื่อน” เข้ามาได้ มักถูกกล่าวอ้างมี “สินบน” ที่เป็นตัวการสำคัญ ในการเปิดทางให้ลักลอบเข้ามาง่ายขึ้น

ก่อนหน้านี้เคยสำรวจ “การรับประโยชน์จากแรงงานเถื่อน ที่ไม่ได้เกิดเฉพาะแนวชายแดนไทย แต่ถูกกล่าวอ้างว่า “หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ” ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายฝ่ายด้วย พูดง่ายๆเวลานี้…“แรงงานต่างด้าว 1 คน” ต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง 13-14 หน่วย ตั้งแต่ท้องที่ จังหวัด ระดับภาค ชุดปฏิบัติเฉพาะกิจตามลำดับ…

ทำให้เป็นที่รู้กันว่า “ส่วยสินบนจากคนต่างด้าว” เป็นรายได้หลัก “บางองค์กร” ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้สามารถ “ตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ยาก” แต่ “คกก.ตรวจสอบแรงงานเถื่อน กลับไม่มีการเปิดเผยความคืบหน้าแนวการตรวจสอบเป็นไปในทิศทางใด ดังนั้นคงเป็นหน้าที่ “คกก.ชุดนี้” ต้องเป็นผู้ชี้แจงความเคลื่อนไหวต่อสังคมต่อไป

เชื่อว่า “ภาคประชาชน” ต่างต้องการทราบ “ความคืบหน้าตรวจสอบแรงงานเถื่อน” ที่พร้อมแจ้งเบาะแสข้อมูลขบวนการแรงงานผิดกฎหมายอยู่มากมาย ดังนั้น “คกก.ตรวจสอบ” ควรต้องมีการประชาสัมพันธ์ หรือสื่อสารกับสังคมให้มากกว่านี้ด้วย เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ และมีความหวังในการแก้ปัญหาแรงงานเถื่อนนี้

“ความจริงแล้ว คกก.ตรวจสอบแรงงานเถื่อน มีการร่างกรอบแนวทางการปฏิบัติไว้กว้างๆมาแต่ต้น ในลักษณะเชิงการศึกษาทางวิชาการ ในด้านปัญหาเชิงการบริหารมากกว่าที่จะมุ่งเน้นตรวจหาพยานหลักฐาน และสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด เพื่อนำไปสู่การดำเนินคดี หรือลงโทษวินัยข้าราชการบุคคลใดหรือไม่” พ.ต.อ.วิรุตม์ว่า

ในส่วน “คกก.ตรวจสอบบ่อนพนัน” แม้มีข้อเท็จจริงของ “เจ้าหน้าที่รัฐหรือตัวเลขบ่อนทั่วประเทศ” เปิดเผยออกมาระดับหนึ่งแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ต่างจาก “แรงงานเถื่อน” มักมีกล่าวอ้าง “การส่งส่วย” ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนด้วย เพื่อให้ “หลับตาข้างเดียว” มิเช่นนั้นหน่วยที่เกี่ยวข้องคงจะยอมให้มีบ่อนพนันในพื้นที่ได้หรือไม่

ส่วนข้อมูลตัวเลขบ่อน 200 แห่งนี้ น่าจะเป็น “บ่อนขนาดเล็ก” เท่านั้น ในส่วน “บ่อนขนาดใหญ่” หยุดความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ “นายกฯ” ประกาศปราบปรามกันอย่างจริงจังแล้วด้วยซ้ำ

ปัญหาตามมา…“รายงานสรุปผลตรวจสอบ” ส่งให้กับ “นายกฯ” คาดว่าคงส่งมอบหมายให้ “สํานักปลัดนายกรัฐมนตรี” นำเรื่องส่งต่อให้ “ผบ.ตร.” เป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนระดับชั้น ด้วยการให้ “โรงพักท้องที่” ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง สุดท้ายก็มักจบรายงาน “ตรวจสอบไม่พบ หรือลักลอบเล่นเลิกแล้ว” อยู่เสมอ

สังเกตจาก “ตัวเลขบ่อน 200 แห่ง” มักมีรายงานเฉพาะอยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่ไม่ปรากฏว่า “การจับกุมผู้ลักลอบเปิดบ่อน” ออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะตามหลักการจับกุมเจ้าของ หรือผู้จัดให้เล่นตัวจริงนี้จะเป็นตัวชี้วัดในการปราบปรามบ่อนอย่างจริงจังเสมอ ส่วนการจับกุมในป่ายาง 30-40 คน อาจเป็นเพียงจัดฉากจับก็ได้

ตัวอย่าง…ปฏิบัติการจับกุม “หลงจู๊” ที่ไม่ใช่เจ้าของบ่อนตัวจริง หรือ “จับเสี่ยโป้” เคยมีชื่อเสียงลักลอบเล่นพนันออนไลน์มานาน แต่กลับมาจับกุมในช่วงนี้เสมือนเป็น “เหยื่อตัวหนึ่งในกระดาน” เพื่อให้เกิดผลทางการปฏิบัติงานปราบปรามเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อสังคมก็ได้

ตอนนี้อย่าหลงประเด็นว่า “การพนันอยู่คู่สังคมไทย” เพราะถ้า “จนท.รัฐบางคน” ไม่รับผลประโยชน์ และมุ่งเน้นทำงานปฏิบัติหน้าที่ด้วยการ “ปราบปราม” อย่างจริงจัง เชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าเปิดบ่อนได้แน่นอน แม้มีการลักลอบเปิดก็ต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ ทำให้ไม่มีนักพนันกล้าเข้าไปเล่น สุดท้าย “บ่อนพนัน” จะอยู่ไม่ได้เอง

สาเหตุเพราะ “ผู้ใหญ่บ้านเมือง หรือข้าราชการบางคน” ไม่ตระหนัก “การพนัน” กำลังทำลายสังคม กลับคิดเป็นตัวส่งเสริม “เศรษฐกิจ” ควรเปิดถูกต้อง สังเกตจากมีเรื่องบ่อนมักตามมาด้วยขอเปิดบ่อนเสรีอยู่เสมอ

ดังนั้น “ผลสรุปรายงาน 2 คณะ” กลายเป็นการทำตามหน้าที่ “คำสั่งนายกฯ” ที่ไม่เห็นผลความเคลื่อนไหวชัดเจน แต่ถ้าจะให้ดีต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดสู่ “สาธารณชน” ให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ในการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย ที่ต้องสื่อสารกับประชาชนให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ…

เพื่อให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจ จากนั้นจะได้ “ข้อมูลแหล่งผิดกฎหมาย” เข้ามาเองมากมาย และก็เชื่อว่า “ผบ.ตร.คนที่ 12 นี้” มีความตั้งใจ “แก้ปัญหาบ่อนพนัน และแรงงานเถื่อน ให้หมดจากสังคมไทยจริงๆ สังเกตจากการสั่งการควบคุมกำกับให้ “ตำรวจทุกหน่วย” เข้มงวดปราบปรามจริงจัง ถ้าใครผิดก็ว่ากันตามกฎระเบียบ

สุดท้าย…“บ่อนพนัน” มักเกิดมาจาก “ทุจริตโดยมิชอบ” แต่ถ้า “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” กล้าประกาศตัวในระหว่างดำรงตำแหน่งนี้ “ไม่ขอรับเงินสินบน” มุ่งเน้นปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายจริงๆอย่างเดียว เชื่อว่า “สิ่งอบายมุข” จะสงบนิ่งลงไม่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นแน่…

ที่มา : https://www.thairath.co.th/