You are currently viewing เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน ต่างด้าว พ.ศ.2560 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561

เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน ต่างด้าว พ.ศ.2560 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561

เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน ต่างด้าว พ.ศ.2560 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561

พ.ร.ก. จัดการแรงงาน เป็นหนึ่งในกฎหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการปฏิรูปการบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมากในภาคการผลิต การเกษตร การก่อสร้าง และภาคบริการ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญกับปัญหาการลักลอบเข้าเมือง การจ้างงานผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศโดยตรง

กฎหมายฉบับนี้จึงถูกออกมาเพื่อสร้าง “ระบบแรงงานต่างด้าวที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” โดยผสมผสานหลักการบริหารจัดการแรงงานสมัยใหม่เข้ากับหลักสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญไทยและมาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารแรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ที่ The Worker — ศูนย์รวมบริการแรงงานต่างด้าวครบวงจรในประเทศไทย

1. ที่มาของการประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน

ก่อนปี 2560 ระบบบริหารแรงงานต่างด้าวของไทยถูกวิจารณ์ว่ามีความซ้ำซ้อน ยุ่งยาก และไม่ตอบสนองต่อสภาพเศรษฐกิจจริง นายจ้างจำนวนมากประสบปัญหาในการต่อใบอนุญาตทำงานให้แรงงานต่างด้าว ส่วนแรงงานเองก็ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน ในหลายกรณีแรงงานที่ถูกลักลอบนำเข้ามาต้องตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์หรือถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินจริง ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ซึ่งเชื่อมโยงกับบทความ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีเนื้อหาเสริมในประเด็นเดียวกัน

2. เหตุผลหลักในการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้

2.1 ลดขั้นตอนและระบบอนุญาตที่เกินจำเป็น

ระบบการอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวในอดีตต้องผ่านหลายหน่วยงานและเอกสารจำนวนมาก ทำให้เกิดต้นทุนเวลาและต้นทุนทางธุรการที่สูง รัฐบาลจึงปรับให้การขอใบอนุญาตเป็น “แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)” โดยสามารถดำเนินการ ณ ศูนย์บริหารแรงงานต่างด้าวประจำจังหวัด ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการจัดหางาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแบบออนไลน์ ช่วยลดภาระของนายจ้างและแรงงานอย่างมาก

2.2 ปรับบทลงโทษให้เหมาะสมและเป็นธรรม

บทลงโทษในพระราชกำหนดฉบับเดิมรุนแรงเกินไป เช่น การเปรียบเทียบโทษกับคดีค้ามนุษย์ แม้นายจ้างหรือแรงงานไม่ได้มีเจตนากระทำผิด การแก้ไขฉบับที่ 2 จึงเน้น “ความสมดุลระหว่างการควบคุมและการส่งเสริม” โดยปรับให้บทลงโทษสอดคล้องกับเจตนา เช่น โทษปรับแทนโทษจำคุก และเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดรายย่อยเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย

2.3 ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค (MOU)

ประเทศไทยมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม การประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน จึงเป็นกลไกทางกฎหมายที่รองรับระบบ MOU อย่างเป็นทางการ เพื่อให้การนำเข้าแรงงานต่างด้าวถูกต้องตามกฎหมาย มีการตรวจสอบประวัติ มีการทำสัญญาจ้างงานชัดเจน และสามารถคุ้มครองสิทธิแรงงานได้จริง อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ MOU ได้ที่ บทความ MOU ไทย–ลาว

2.4 สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิมนุษยชน

กฎหมายฉบับใหม่นี้ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 4 และ 26 ที่รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม รวมทั้งยึดแนวทางตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานแรงงานของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

2.5 ปรับระบบตรวจสอบและฐานข้อมูลแรงงาน

อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญคือการสร้างฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวแบบรวมศูนย์ (Centralized Database) เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถตรวจสอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสัญชาติ ประเภทงาน หรือระยะเวลาทำงาน ส่งผลให้รัฐสามารถป้องกันการนำแรงงานเข้ามาเกินโควตา ลดแรงงานเถื่อน และวางแผนกำลังแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมหลังประกาศใช้ พ.ร.ก. จัดการแรงงาน

หลังการประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้ ภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคการผลิตและการก่อสร้างได้รับผลดีอย่างชัดเจน เพราะสามารถจ้างแรงงานได้ถูกต้องตามระบบ มีการคุ้มครองสิทธิแรงงาน ลดปัญหาการถูกจับกุมหรือถูกปรับ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าไทยมีระบบแรงงานโปร่งใส ซึ่งส่งผลดีต่อการดึงดูดการลงทุนและความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ

ในด้านสังคม กฎหมายฉบับนี้ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนไทยกับแรงงานต่างด้าว เนื่องจากมีระบบควบคุมและกำกับดูแลที่ชัดเจนมากขึ้น ลดปัญหาแรงงานหลบหนีเข้าเมือง และทำให้แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงประกันสังคม การรักษาพยาบาล และการคุ้มครองแรงงาน ดูข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพแรงงานเพิ่มเติมได้ที่ ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว

4. ประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและนายจ้าง

ภายใต้ พ.ร.ก. ฉบับใหม่นี้ นายจ้างสามารถตรวจสอบสถานะของแรงงานได้สะดวกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถแจ้งเข้า–ออกงาน ต่ออายุใบอนุญาต และจัดทำเอกสารได้ภายในกำหนดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย และยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทเมื่อต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการหรือคู่ค้าต่างประเทศ

นอกจากนี้รัฐบาลยังเปิดโอกาสให้นายจ้างขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพานายหน้าหรือบริษัทนำเข้าแรงงาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้มาก ผู้ประกอบการที่ต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมสามารถติดต่อ The Worker หรือสอบถามผ่านเพจ 📘 Facebook: Business Solution Thai

5. แนวทางการนำ พ.ร.ก. ไปใช้ในทางปฏิบัติ

ภายหลังการประกาศใช้ พระราชกำหนดนี้ได้ถูกนำไปใช้จริงผ่าน “ศูนย์บริหารแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (OSS)” ซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการนายจ้างและแรงงานในด้านการขออนุญาตทำงาน การตรวจสุขภาพ และการทำประกันสังคมในจุดเดียว นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำให้การตรวจสอบข้อมูลเป็นระบบมากขึ้น

ในเชิงเศรษฐกิจ รัฐบาลสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวางแผนแรงงานภาคการผลิต และประเมินความต้องการแรงงานในอนาคต ส่วนภาคเอกชนเองก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการจ้างงานอย่างยั่งยืนและถูกต้องตามกฎหมาย

6. บทสรุปและมุมมองต่ออนาคต

พ.ร.ก. ไม่ได้เป็นเพียงกฎหมายควบคุมแรงงานต่างด้าวเท่านั้น แต่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบแรงงานของประเทศไทยให้ทันสมัยและเท่าเทียมกับนานาประเทศ ช่วยป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงาน ควบคุมการค้ามนุษย์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรระหว่างประเทศ

ในระยะยาว พระราชกำหนดนี้จะเป็นรากฐานของการพัฒนา “ระบบแรงงานต่างด้าวดิจิทัล” ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ครบวงจร ทำให้การบริหารแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างยั่งยืน ปลอดภัย และสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG Model ของรัฐบาล สามารถติดตามบทความแรงงานอื่น ๆ ได้ทาง The Worker และเพจ 📘 Business Solution Thai


แหล่งอ้างอิง: สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รวบรวมและเรียบเรียงโดย นายสุรพร ภาณุดุลกิตติ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ): กฎหมายแรงงานต่างด้าวและการบริหารแรงงาน

1) กฎหมายแรงงานต่างด้าวคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร?

กฎหมายแรงงานต่างด้าว คือ พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และฉบับแก้ไข พ.ศ.2561 ซึ่งออกมาเพื่อควบคุมและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวให้ถูกกฎหมาย ป้องกันการค้ามนุษย์ และสร้างระบบแรงงานที่โปร่งใสและยั่งยืน

2) การบริหารแรงงานต่างด้าวแบบใหม่แตกต่างจากเดิมอย่างไร?

ระบบใหม่ใช้ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรมการจัดหางานและตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้นายจ้างและแรงงานต่างด้าวดำเนินการได้ง่าย รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย

3) การจ้างแรงงานต่างด้าวให้ถูกกฎหมายต้องทำอย่างไร?

นายจ้างต้องแจ้งการจ้างภายใน 15 วันหลังเริ่มทำงาน พร้อมขึ้นทะเบียนและขอใบอนุญาตทำงาน หากเป็นแรงงานในระบบ MOU ต้องผ่านการตรวจสุขภาพ ทำประกันสังคม และมีสัญญาจ้างงานตามแบบที่กระทรวงแรงงานกำหนด

4) ระบบ MOU แรงงานเพื่อนบ้านคืออะไร?

ระบบ MOU เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อให้แรงงานเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการคุ้มครองสิทธิแรงงานอย่างเท่าเทียม

5) บทลงโทษของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานต่างด้าวคืออะไร?

นายจ้างที่จ้างแรงงานไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้ทำงานนอกเหนือจากที่ระบุในใบอนุญาต จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000–100,000 บาทต่อคน และอาจถูกพักหรือเพิกถอนสิทธิ์การจ้างแรงงานต่างด้าวในอนาคต

6) ประโยชน์ของการบริหารแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายคืออะไร?

ช่วยให้นายจ้างมีความมั่นใจ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย เพิ่มความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจ และช่วยให้แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิตามกฎหมาย เช่น ประกันสังคมและสวัสดิการแรงงาน ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

7) หากต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ติดต่อที่ไหนได้บ้าง?

สามารถติดต่อ The Worker เพื่อขอคำแนะนำด้านการนำเข้าแรงงาน การต่อใบอนุญาตทำงาน และการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานต่างด้าว หรือติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านเพจ 📘 Business Solution Thai

ใส่ความเห็น